ชื่อเรื่อง การพัฒนากระบวนการคิดเพื่อเขียนเรียงความโดยใช้แผนที่ความคิด สาระภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร
ผู้รายงาน นายไพรัช เหลืองอิงคะสุต
โรงเรียน โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร
ผู้รายงาน นายไพรัช เหลืองอิงคะสุต
โรงเรียน โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
บทคัดย่อ
การสอนทักษะการเขียนเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นทักษะ
ที่ค่อนข้างยาก ปัญหาสำคัญอยู่ที่การขาดความรู้ ประสบการณ์ ความช่างสังเกต ความคิด
การใช้ภาษา และขาดการฝึกฝน แม้ว่าผู้เขียนจะมีพื้นฐานของการเป็นผู้เขียนที่ดีดังกล่าวแล้วทั้งหมด
แต่ถ้าไม่คิดริเริ่มที่จะเขียนและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ก็คงไม่อาจเป็นผู้เขียนที่ดีได้ เพราะการฝึกฝน
ย่อมช่วยเพิ่มพูนทักษะการเขียนให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งนับได้ว่าการเขียนเพื่อพัฒนาการเขียน
หรือเป็นการใช้กระบวนการเขียนพัฒนางานเขียน ทั้งยังเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการเขียนอีกด้วย
การฝึกฝนให้มีกระบวนการคิดให้แก่ผู้เรียนเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะทักษะการเขียน
ประเภทเรียงความ จึงเป็นหน้าที่ของครูภาษาไทยที่จะต้องคิดหากลวิธีการสอนและเครื่องมือ
ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อฝึกฝนทักษะการเขียนเรียงความของนักเรียน เพราะผลงานด้านการเขียน
เรียงความของนักเรียน คือการแสดงความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ภาษา ดังนั้น ผู้รายงานจึงได้
พัฒนาการเรียนรู้เรื่องขั้นตอน การวางแผนการเขียนเรียงความ สาระภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4 โดยใช้แผนที่ความคิด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนากระบวนการคิดเพื่อเขียนเรียงความ
โดยการใช้แผนที่ความคิด สาระภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
กลุ่มผู้ร่วมในการรายงานการพัฒนาได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
หนองบัวพิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา
ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 แผน เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่
บันทึกการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียนจากการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งกำหนดประเด็น
ในการเขียนแสดงความคิดเห็นไว้ 5 ประเด็น ดังนี้ ความรู้ที่ได้รับ ประโยชน์/การนำไปใช้
กระบวนการ/ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ปัญหา/อุปสรรค/การแก้ไข และความคิดเห็นเพิ่มเติม
และแต่ละประเด็นกำหนดให้ใช้เขียนใน 1 ย่อหน้า บันทึกการปฏิบัติงานของครู และแบบวัด
ความพึงพอใจของผู้เรียน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการเรียนการสอน ได้แก่
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนเรียงความ การพัฒนาครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
มีขั้นตอนการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนกำหนดแผนปฏิบัติการ ขั้นตอนปฏิบัติการ ขั้นสังเกต
และขั้นสะท้อนการปฏิบัติ นำข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติในแต่ละวงรอบมาวิเคราะห์และใช้ปรับแผน
ในการพัฒนาวงรอบต่อไป
ผลการศึกษาพบว่า
ในการพัฒนาวงรอบที่ 1 ผลคะแนนเรียงความของผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 69.33
โดยนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 66.66 ในการพัฒนาวงรอบที่ 2 ผลคะแนนเรียงความของผู้เรียน
มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 78.78 และมีผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ100 และในการปฏิบัติกิจกรรม
การเรียนรู้ในการพัฒนาวงรอบที่ 1 พบว่า การเตรียมตัวของผู้รายงานและผู้เรียนยังไม่พร้อม
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นเนื้อหาใหม่ ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังไม่มีความสามารถในการเขียน
เรียงความจากประสบการณ์เรื่อง การเล่าเรื่องตนเองแบบร้อยแก้ว ให้ถูกต้องตามจุดประสงค์
การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ได้ เช่น การใช้ย่อหน้าในการเขียน ผลงานการเขียน “แก่นแกน” ของผู้เรียน
ยังมีสิ่งที่ยังต้องแก้ไขเป็นส่วนมาก เช่น การการกำหนดขนาด การใช้สี และการใช้อารมณ์ขัน
ผลงานการเขียนเล่าเรื่องตนเองโดยการใช้แผนที่ความคิด ของนักเรียนบางคนยังขาดความสมบูรณ์
ตามหลักการเขียนแผนที่ความคิด กลุ่มของผู้เรียนบางกลุ่มยังไม่ให้ความร่วมมือและไม่เห็นความสำคัญ
ในการปฏิบัติงานกลุ่ม ส่วนใหญ่จะมีการเกี่ยงกันในกลุ่มในการที่จะส่งตัวแทนออกไปรายงานผลสรุปหน้า ชั้นเรียน ผู้เรียนยังไม่สามารถเปรียบเทียบการเขียนเรียงความจากประสบการณ์เรื่อง
การเล่าเรื่องตนเอง กับการเล่าเรื่องตนเองโดยใช้แผนที่ความคิดได้ เนื่องจากไม่เข้าใจองค์ประกอบ
ของแผนที่ความคิดและองค์ประกอบของเรียงความเพียงพอ ผู้เรียนบางส่วนยังไม่สามารถเขียน
เรียงความได้ เมื่อได้ตรวจสอบการเขียนแผนที่ความคิดแล้วปรากฏว่าแผนที่ความคิดของผู้เรียน
“แก่นแกน” ที่ผู้เรียนเลือกนำมาเขียนนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัว ผู้เรียนเขียนข้อมูลในแผนที่ความคิด
แบบกระจัดกระจาย ไม่เป็นหมวดหมู่ จึงทำให้การเขียนเรียงความมีข้อมูลที่กระจัดกระจายไม่เป็น
หมวดหมู่ด้วย กิจกรรมการเขียนเรียงความพบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่เขียนเรียงความโดยใช้องค์ ประกอบของเรียงความในรูปแบบที่เคยชิน คือ จะใช้องค์ประกอบสามส่วน คือ คำนำ เนื้อหา และสรุป
ซึ่งจะทำให้ตอนที่ 2 ส่วนที่เป็นเนื้อหานั้นมีความยาวมากไม่สามารถที่จะแบ่งเนื้อหาได้ชัดเจน ผู้เรียนได้เขียนแสดงความคิดเห็น ไม่เป็นระเบียบ การเขียนวกวน อ่านแล้วเข้าใจได้ยาก ในการพัฒนา
วงรอบที่ 2 ผลการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในขั้นตอน
ของการเขียนแผนที่ความคิด สามารถเขียนแก่นแกน และแตกแขนงความคิดได้ถูกต้องตามหลักการ
การเขียนแผนที่ความคิด ผู้เรียนเข้าใจการเปรียบเทียบองค์ประกอบของแผนที่ความคิดกับองค์ประกอบ
ของเรียงความ จึงทำให้การเรียงลำดับข้อมูลการเขียนขยายความจากเรื่อง ส่งผลให้ผู้เรียนเขียน
เรียงความได้ดีขึ้น ส่วนคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนเรียงความสูงขึ้นคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 83.33
และผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้นการพัฒนากระบวนการคิดเพื่อเขียน
เรียงความ โดยใช้แผนที่ความคิด สามารถที่จะช่วยให้ผู้เรียนเขียนเรียงความได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากขึ้น
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment